คงไม่มีใครปฏิเสธความมั่งคั่งและเจริญก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อของรัฐเล็กๆ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เพิ่งเป็นที่รู้จักของคนไทยมาได้ไม่นานนัก ในฐานะที่พำนักของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร!? แต่หากย้อนกลับไป ในปี 1833 ดูไบ นั้นยังเป็นเพียงดินแดนทะเลทรายที่รายล้อมด้วยทะเลสีคราม และมีประชากรอาศัยอยู่เพียง 800 คนเท่านั้น แถมส่วนใหญ่ยังยึดถืออาชีพชาวประมงหาปลาและเก็บไข่มุกขายเท่านั้น จนกระทั่ง มีการค้นพบน้ำมันดิบ หน้าตาของดินแดนนี้จึงเปลี่ยนไปตลอดกาล
.
ใจกลางเมืองดูไบในช่วงปี 1950-1960 กับภาพในปัจจุบัน
.
.
ภาพการขนส่งสิ่งของโดยใช้อูฐเป็นพาหนะในช่วงปี 1950-1960 กับภาพในปัจจุบัน
.
.
อาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในนครดูไบในช่วงปี 1950-1960 กับภาพในปัจจุบัน
.
.
ในอดีตดูไบเองก็มีสนามบินสำหรับขนส่งผู้คนและสินค้าเช่นกัน แม้มันจะไม่ได้ค่อยใช้งานก็ตาม แต่ในปัจจุบัน ที่นี่คือหนึ่งในสนามที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
.
.
มุมมองทางอากาศของเมืองดูไบในช่วงปี 1950-1960 กับภาพในปัจจุบัน
.
.
จากเมืองที่หายใจอยู่ได้ด้วยการเป็นเมืองท่า ปัจจุบันดูไบไม่เพียงจะเป็นดินแดนของเหล่าเศรษฐีน้ำมัน แต่ยังเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักอีกด้วย
.
.
ถึงจะถูกรายล้อมด้วยทะเล แต่ดูไบได้เปลี่ยนจุดด้อยนั้นให้กลายเป็นจุดเด่นสำหรับดึงดูดนักท่องโดยเฉพาะ
.
.
แม้จะมีความเจริญก้าวหน้ามากแค่ไหน แต่สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองอย่างเช่น หอนาฬิกา ก็ยังถูกรักษาเอาไว้อย่างดี
.
.
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าดินแดนแห่งนี้ไม่เพียงจะเป็นอาณาจักรของเหล่าเศรษฐีน้ำมัน แต่มันยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักเดินทางจากทั่วโลก จึงไม่แปลกที่ห้างร้านต่างๆ จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างหรูหรา
.
.
มาถึงตรงนี้หลายคนคงเกิดคำถามว่า แล้วถ้าน้ำมันหมดไป เมืองนี้จะยังเหลือความสำคัญอยู่หรือไม่!? คำตอบก็คงเฉลยอยู่ในภาพด้านบนแล้ว เพราะต่อให้น้ำมันหายไปจนเกลี้ยง นครดูไบก็ยังคงผงาดในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับสากลของโลกทุนนิยมที่ผู้คน ทั่วโลกอยากเดินทางไปสัมผัสดูสักครั้ง
.
ที่มา : buzzycrush.com , clipmass