เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศได้รายงานว่า มีการค้นพบผึ้งตัวใหญ่ที่สุดในโลก นับตั้งแต่ปี 1981 หรือกว่า 38 ปีมาแล้ว ที่ต่างคิดว่ามันสูญพันธ์ไปแล้ว
ชื่อของมันเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ผึ้งยักษ์วอลเลซ (Wallace) ซึ่งตั้งชื่อตามนักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวอังกฤษ Alfred Russel ซึ่งเป็นผู้ค้นพบคนแรก ในปี 1858
ตัวของมันเป็นเพศเมียมีขนาดเท่าหัวนิ้วหัวแม่มือของผู้ใหญ่ นักสำรวจพบมันบนเกาะ North Moluccas ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งพบอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนรังปลวกบนต้นไม้ที่อยู่สูงจากพื้นมากกว่า 2 เมตร
Clay Bolt ช่างภาพสัตว์ป่าและลูกทีมของเขาเป็นผู้ค้นพบมัน โดยเดินทางค้นหาตลอด 6 วัน จนกระทั่งไกด์ท้องถิ่นของทีมได้ชี้ไปที่รังปลวกบนต้นไม้ และสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน
ลักษณะของมันคล้ายตัวต่อสีดำตัวใหญ่ มีขากรรไกรขนาดใหญ่เหมือนด้วงกว่าง และมีหน้าที่ใช้เก็บเรซินที่ได้จากต้นไม้เพื่อสร้างรัง และปกป้องตัวเองจากปลวกที่เข้ามาบุกรุก
การค้นพบครั้งนี้ทำให้เกิดความหวังว่า ป่าในภูมิภาคนี้เป็นแหล่งอาศัยของหนึ่งในแมลงที่หายากและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก
Eli Wyman นักกีฏวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และเป็นหนึ่งในทีมผู้สำรวจนี้กล่าวว่า
“การค้นพบผึ้งยักษ์วอลเลซครั้งนี้จะเป็นตัวจุดประกายในการทำวิจัยเพื่อทำความเข้าใจในประวัติของมันอย่างลึกซึ้ง และสร้างความพยายามเพื่อจะปกป้องพวกมันไม่ให้สูญพันธุ์”
ขณะนี้ยังไม่มีการคุ้มครองทางกฎหมายในด้านการค้า ซึ่งผึ้งยักษ์วอลเลซถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ตามการประกาศของสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN)
ทางด้านกลุ่มสิ่งแวดล้อม Global Wildlife Conservation (GWC) องค์กรระดับโลกเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ได้ให้การสนับสนุนทีมนักสำรวจชุดนี้
“การทำให้ผึ้งยักษ์วอลเลซเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเพื่อการอนุรักษ์นั้น พวกเรามั่นใจว่าสายพันธุ์ของพวกมันในอนาคตจะสดใสกว่าถ้าเราปล่อยให้มันถูกเก็บไว้อย่างเงียบ ๆ” Robin Moore สมาชิกจากกลุ่ม GWC กล่าว
ที่มา : bbc , dailymail , theguardian