12 ความเชื่อ VS ความจริง ของพฤติกรรมที่คุณอาจทำผิดมาตลอด

ทุกๆ คนล้วนมีสิ่งที่เป็นพฤติกรรมที่ทำกันอยู่ทุกวัน จนกลายเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้กฎเกณฑ์เหมือนกันว่าใครเป็นคนที่กำหนดให้ต้องทำพฤติกรรมเหล่านี้อยู่เป็นประจำเหมือนกัน

แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าพฤติกรรมหลายๆ อย่างที่ทำอยู่ทุกวันนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องทำให้มันเป็นเหมือนรูปแบบเดิมๆ ก็ได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 12 ความเชื่อ VS ความจริง ของพฤติกรรมที่คุณอาจทำผิดมาตลอด มาให้ทุกคนได้ทราบกัน ลองไปดูกันดีกว่าว่ามันคืออะไรบ้าง

1.

bad-habits-we-mistake-for-good-01

.

ความเชื่อ : เราสามารถชดเชยเวลาการนอนที่สูญเสียไปในวันธรรมดา ด้วยการนอนเยอะๆ ในวันสุดสัปดาห์

ความจริง : คนเราต้องนอนวันละ 7-8 ชั่วโมง และไม่สามารถนอนชดเชยได้

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Pittsburgh พบว่า คนทุกคนต้องนอนหลับในรูปแบบที่ปกติเพื่อจะได้มีสุขภาพร่างกายที่ดี การฝืนธรรมชาติของการนอน อาจนำไปสู่โรคหัวใจ และโรคเบาหวานได้

.

2.

bad-habits-we-mistake-for-good-02

.

ความเชื่อ : กินวิตามินจะช่วยให้มีสุขภาพที่ดี

ความจริง : มีแต่หมอเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าเราควรกินวิตามินหรือไม่

การกินวิตามินบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกายนั้นไม่สามารถกินเองได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ มีโรคประจำตัว และหญิงมีครรภ์ มีแต่แพทย์เท่านั้นที่สามารถติดสินใจได้ว่าวิตามินอะไรที่จำเป็นต่อร่างกาย

.

3.

bad-habits-we-mistake-for-good-03

.

ความเชื่อ : ควรอาบน้ำวันละ 1-2 ครั้ง

ความจริง : ควรอาบน้ำเมื่อจำเป็นต้องอาบ

ครีมอาบน้ำ และเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน แตก หลุดลอก และอาจนำไปสู่การติดเชื้อได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบอาบน้ำบ่อยๆ ล่ะก็ ทางที่ดีควรจะอาบน้ำเย็น หรือน้ำในอุณหภูมิที่ปกติ และไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายทุกครั้ง แค่ใช้เฉพาะบริเวณที่มีเหงื่อออกเยอะก็พอ

.

4.

bad-habits-we-mistake-for-good-04

.

ความเชื่อ : คุณควรจะหันหนีผู้ที่ไอหรือจาม เพื่อที่จะไม่ติดโรคที่คนๆ นั้นเป็นอยู่

ความจริง : คุณไม่ควรอยู่ใกล้ชิดจนเกินไปกับคนที่ป่วย

การกลั้นหายใจจากคนข้างๆ ที่ไอหรือจาม ไม่เป็นการช่วยอะไรเลยสักนิด เพราะเวลาที่ไอหรือจามออกมา เชื้อโรคจะฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศด้วยความเร็ว 5 เมตรต่อวินาที แถมโมเลกุลของมันมีมากพอสำหรับประชากรทุกคน (* ความคิดเห็นส่วนตัว คือ เข้าใจว่าเราไม่ควรจะอยู่ใกล้เกินไปกับคนที่ป่วย ซึ่งมีอาการไอหรือจาม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวเองติดโรค แต่ในบางสถานการณ์มันก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้จริงๆ ดังนั้นถ้าคนผู้นั้นสวมผ้าปิดปาก ใช้มือปิดปาก หรือเดินหนีไปไกลหน่อยเวลาที่ไอหรือจาม ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะถ้าเราแสดงท่าทีมากเกินพอดี จะกลายเป็นการเสียมารยาทได้ *)

.

5.

bad-habits-we-mistake-for-good-05

.

ความเชื่อ : ควรจะแปรงฟันทุกครั้งหลังทานอาหาร

ความจริง : ควรจะแปรงฟันแค่ 2 ครั้งต่อวัน

เวลาที่ทานอาหารที่มีรสหวาน หรือมีกรด จะทำให้สารเคลือบฟันอ่อนตัว การแปรงฟันหลังทานอาหารทันทีจะทำให้มีการสึกกร่อนมากขึ้น ดังนั้นแค่บ้วนปากด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำยาบ้วนปากก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้ากลัวว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นจะมีกลิ่นฟุ้งติดอยู่ในปากล่ะก็ ควรจะเว้นระยะเวลาประมาณ 30 นาที แล้วค่อยแปรงฟันจะเป็นการดีกว่า (จะว่าไปแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นะ ถ้าต้องไปนั่งประชุม พบลูกค้า หรือคุยกับใครก็ตามในระยะประชิดล่ะ จะต้องทำยังไง? ก็คงต้องเลือกแปรงฟันทันที เพื่อจะได้ไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์คิดอยู่ในปาก จริงมั้ย?)

.

6.

bad-habits-we-mistake-for-good-06

.

ความเชื่อ : ควรงีบหลับสักนิดหลังมื้อเที่ยงจะได้สดชื่น

ความจริง : การนอนหลับหลังทานอาหารจะทำให้อ้วน

หลังทานมื้อเที่ยงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนง่วงนอนมากที่สุด ซึ่งความจริงแล้วการงีบหลับสักครู่จะช่วยให้สดชื่นขึ้นได้ แต่ว่าก็ต้องแลกมากับผลกระทบทางลบ นั่นก็คือ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากขณะที่นอนหลับ ร่างกายจะทำการสะสมแคลอรี่สำรองแทนการเผาผลาญแคลอรี่

.

7.

bad-habits-we-mistake-for-good-07

.

ความเชื่อ : ควรทำความสะอาดบ้านให้สะอาดหมดจดอยู่เสมอ

ความจริง : การทำความสะอาดบ่อยเกินไป มีส่วนเพิ่มโอกาสการเป็นโรคภูมิแพ้

ระบบภูมิคุ้มกันของร่ายกายเรานั้นต้องการ ‘การฝึกฝน’ ถ้าเชื้อแบคทีเรียจากภายนอกผ่านเข้ามาสู่ร่างกาย แอนติบอตี้จะทำการพัฒนาตัวเองเพื่อทำลายเชื้อโรค ซึ่งถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อนามัยสุดๆ แอนติบอดี้จะไม่ทำการต่อสู้กับอะไรเลย ทำให้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดบ้านก็อาจจะเข้ามาทำร้ายร่างกายเราได้อีกด้วย สรุปคือ ควรจะทำอะไรให้มันอยู่ในความพอดี นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

.

8.

bad-habits-we-mistake-for-good-08

.

ความเชื่อ : ไมโครเวฟจะทำลายคุณค่าของสารอาหารต่างๆ ที่อยู่ในอาหารจนหมด

ความจริง : รังสีจากไมโครเวฟไม่สามารถทำแบบนั้นได้

ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Harvard บอกว่า การอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ เป็นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ เนื่องจากความรวดเร็วของมันนั้นจะไม่ไปทำลายคุณค่าทางโภชนาการของอาหารต่างๆ แถมการใช้ฝาครอบรวมถึงการใส่น้ำลงไปด้วยจะช่วยให้อาหารสุกเร็วขึ้น และไม่ไหม้อีกต่างหาก ส่วนรังสีของไมโครเวฟนั้นไม่มีการทำให้วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ในอาหารสลายไปด้วย

.

9.

bad-habits-we-mistake-for-good-09

.

ความเชื่อ : การนอนหลับนานๆ เป็นสิ่งที่ดีกว่า

ความจริง : การนอนหลับเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้อยู่ในสภาวะเซื่องซึม

อาจมีหลายคนที่คิดว่าการนอนหลับนานๆ จะทำให้ร่างกายนั้นได้พักผ่อนมากขึ้น แต่ความจริงแล้วการนอนหลับนานๆ เกินความจำเป็นถือว่าอันตรายไม่ต่างกับการนอนหลับไม่เพียงพอเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากนอนเกินวันละ 8 ชม. อาจนำไปสู่ความล้มเหลวของการทำงานในสมอง ส่งผลให้มีอาการเซื่องซึม เฉื่อยชา และคิดช้ากว่าเดิม

.

10.

bad-habits-we-mistake-for-good-10

.

ความเชื่อ : การใช้นาฬิกาปลุก เป็นวิธีการปลุกให้ตื่นจากเตียงที่ดีที่สุด

ความจริง : การตื่นแบบทันทีทันใด ส่งผลเสียต่อร่างกายได้

งานวิจัยชิ้นหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นบอกว่า การใช้นาฬิกาปลุกปลุกให้ตื่นจากที่นอนนั้นเปรียบเสมือนการขัดจังหวะการนอน นอกจากจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวแล้ว ยังทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อหัวใจโดยตรง ถ้าเป็นไปได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ การนอนให้เป็นเวลา และให้ร่างกายค่อยๆ ตื่นเป็นเวลาตามธรรมชาติ จนร่างกายนั้นคุ้นชิน จะดีต่อสุขภาพร่างกายมากที่สุด

.

11.

bad-habits-we-mistake-for-good-11

.

ความเชื่อ : การใช้เป้สะพายหลังแบกสัมภาระคือวิธีที่ดีที่สุด

ความจริง : การใช้เป้สะพายหลังแบกสัมภาระจะดีก็ต่อเมื่อแบกอยู่ในตำแหน่งที่สูงจากเอวประมาณ 5 ซม.

การแบกเป้สะพายหลังผิดวิธีจะนำมาสู่อาการปวดหลังเรื้อรังได้ ซึ่งตำแหน่งที่เหมาะสมในการใช้เป้สะพายหลังแบกสัมภาระก็คือ แบกให้สูงเหนือเอวประมาณ 5 เซนติเมตร และสายรัดทั้งหมดก็ควรจะรัดให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงไม่ควรใส่สัมภาระต่างๆ ไว้ในเป้จนมีน้ำหนักมากเกินไปด้วย

.

12.

bad-habits-we-mistake-for-good-212

.

ความเชื่อ : แว่นกันแดดทุกอันสามารถป้องกันสายตาจากแสงแดดอันร้อนแรงได้

ความจริง : แว่นกันแดดคุณภาพสูงเท่านั้นที่สามารถป้องกันสายตาจากแสงแดดอันแรงกล้าได้

จักษุแพทย์ได้ให้การยืนยันว่า แว่นกันแดดที่คุณภาพต่ำ หรือมีราคาถูก จะไม่ช่วยป้องกันสายตาจากรังสีอัลตราไวโอเลต เพราะเวลาที่ทุกคนเจอแสงแดดจ้า ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยการหรี่ตาเพื่อป้องกันอาหารแสบตา แต่ถ้าสวมแว่นกันแดด ดวงตาจะเบิกกว้างตามปกติขณะที่มองไปยังแสงนั้น ซึ่งแว่นกันแดดที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอในการป้องกันแสง และดวงตา จะทำให้ดวงตาได้รับอันตรายมากกว่าตอนไม่สวมแว่นกันแดดเสียอีก

.

ที่มา : brightside , rabbit