ถ้าพูดถึงเรื่องของการรักษาในปัจจุบันก็ถือว่าก้าวหน้าไปมาก ทั้งยา ทั้งอุปกรณ์ สามารถทำให้ผู้ป่วยมั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยแน่นอน แล้วถ้าย้อนกลับไปในอดีตละ เขามีวิธีหรือยารักษากันยังไงบอกเลยเด็ดดวงมากด้วยวิธีการใช้ ซากศพ ของมนุษย์มาผสมเป็นยา แล้วจะมีส่วนไหนบ้างล่ะ ไปดูกัน
.
1. กะโหลกชูกำลัง
.
พระเจ้าชาร์ลที่ 2 นี่แหละที่เป็นคนต้นคิด ด้วยความที่เป็นคนที่ชื่นชอบในเรื่องเซ็กส์มาก และวิธีที่จะช่วยให้เรื่องบนเตียงยืนหยัดอยู่ได้อย่างยืดยาว ก็ต้องบดเนื้อกะโหลกเข้ากับฝิ่นแล้วดื่มเพื่อเพิ่มพละกำลังให้ฟิตได้ตลอดทั้งวัน
.
2. กะโหลกหยุดเลือด
.
เหล่าเพชฌฆาตในอดีตมักจะเก็บหัวกะโหลกเหยื่อที่ตัวเองฆ่ามากองไว้ที่หน้าบ้าน ปล่อยให้ตะใคร่สีเขียวมาเกาะให้เต็ม เมื่อใดที่ต่อสู้แล้วมีเลือดออกเขาก็จะเอาตะใคร่นั้นไปโปะที่บาดแผลหรือว่าถ้าเลือดกำเดาไหลก็เอามาอุดจมูกเอาไว้ เชื่อว่าจะทำให้เลือดหยุดไหลได้อย่างชะงัด
.
3. ดื่มเลือดจากศพแกลดิเอเตอร์แก้ลมชัก
.
แกลดิเอเตอร์(Gladiator) นักรบที่มีฝีมือฉกาจในยุคโรมัน หากถูกฆ่าตายในระหว่างรบ เขาเชื่อกันว่า เลือดของแกลดิเอเตอร์สามารถรักษาโรคลมชักได้ และมันก็เป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมาจนลามไปทั่วทั้งยุโรป
.
4. ซากศพในน้ำผึ้ง
.
ในศตวรรษที่ 16 คนชราที่ยอมอุทิศร่างกายตัวเองให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น เมื่อตายไปแล้วจะถูกเอาร่างมาแช่ในน้ำผึ้ง และเมื่อเวลาผ่านไปน้ำผึ้งกับศพเข้ากันดีแล้ว น้ำผึ้งในโหลนั้นก็จะถูกนำบริโภคกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยเชื่อว่าเป็นยา
.
5. รับประทานสมอง
.
ในศตวรรษที่ 17 นายแพทย์คนหนึ่งบอกว่า สมองสามารถช่วยรักษาโรคลมชัก
และยิ่งถ้าเป็นสมองของชายหนุ่มที่ตายโหงด้วยละก็จะยิ่งดี
.
6. ไขมันมนุษย์
ในฮอลแลนด์ เคยมีการเอาไขมันมาผสมกับเบียร์ เพราะเชื่อกันว่าไขมันที่เรากินเข้าไปมันจะช่วยให้กระดูก หรือไขข้อที่มันฝืดๆ กลับมาคล่องแคล่วได้อีกครั้ง
.
7.
.
ย้อนกลับไปในปี 1800 เหงื่อของศพที่ถูกประหารคือยาทาสุดวิเศษที่จะสามารถช่วยแก้ริดสีดวงทวารของคุณได้
.
8. ผงมัมมี่
.
ในช่วงศตวรรษที่ 12 และ 17 ผู้ที่ต้องการกินอาหารเพื่อสุขภาพ มักจะชอบผสมผงมัมมี่ลงไปกับอาหารที่กิน เพราะคิดว่ามันจะช่วยลดแผลในกระเพราะอาหาร รวมไปถึงเนื้องอกในช่องท้องด้วย
.
9. ศพเด็ก
.
และนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งสำหรับการปรุงยาที่น่าสยดสยอง โดยการเอาศพเด็กมาบดละเอียดแล้วกินเข้าไป เชื่อว่ามันสามารถช่วยแก้โรคหอบหืดได้ (มันไม่จริงแน่ๆ)
.